Genesis

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Bitcoin คืออะไร

       สามารถฝากให้ขุด Bitcoin ได้โดยไม่ต้องลงโปรแกรม Mining ในเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เสียเวลาเสียค่าไฟฟ้าและเสียเวลามาซ่อมเวลาคอมพิวเตอร์พัง...โดยฝากขุดได้ที่  .....
กด Link นี้ได้เลย เพื่อฝากให้ขุด https://www.genesis-mining.com/a/110621
จะมีค่าใช้จ่ายตามสเป็คหรือความแรงที่เรากำหนด...แรงมากขุดได้มากครับ..เลือกเอาที่สบายใจเลยครับ

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Asset Allocation...เราควรรู้ไว้เพื่อการลงทุน

      การที่เราจะลงทุนในสินทรัพย์อะไรช่วงเวลาไหน เราควรรู้ six stages of business cycle คือ วัฐจักรของ ธุรกิจหรือของประเทศนั้นๆว่าอยู่ใน stages ไหนและเราควรลงทุนอะไรในประเทศนั้นๆ ทำให้เราเห็นภาพใหญ่ของเศรษฐกิจประเทศและโลก มาดูภาพกันครับ เพื่อความเข้าใจมากขึ้น


























     จากภาพจะเห็นว่าข่าวการที่สหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ย ถ้าขึ้นได้จริง เราไม่ควรกล้วว่าหุ้นจะตกนะครับ เพราะดูจาก six stages of business cycle แล้ว "สหรัฐขึ้นดอกเบี้ยจริง" แสดงว่าสหรัฐน่าจะเข้ามาอยู้ใน stage 4 แล้วแสดงว่าทุกอย่างกำลังจะดี หุ้นจะขึ้นไปอีกนานพอสมควรเลยละครับ ...พอเอา stage 5 เราก็ขายหุ้น มาเริ่มเก็บสินค้าโภคภัณฑ์ ( Commodity ) แทน..

    ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ

     Martin J. Pring ผู้แต่งหนังสือ The Six Stages of Business Cycle เริ่มเข้าวงการการเงินตั้งแต่ 1969 ก่อตั้งองค์กรให้บริการวิจัยแก่สถาบันการเงินและนักลงทุนรายย่อยทั่วโลก รวมทั้งหนังสือที่แนะนำวิเคราะห์การลงทุนทางเทคนิคที่แปลมากกว่า 10 ภาษา ปัจจุบันการวิจัยของเขาได้พัฒนาสู่การเป็นของตัวชี้วัดทางการเงินและเศรษฐกิจที่น่าเชื่อถือในการพิจารณาเลือกการลงทุน โดยเขาได้แบ่ง สินทรัพย์เพื่อการลงทุน 3 กลุ่ม ได้แก่ พันธบัตร , หลักทรัพย์ และ สินค้าโภคภัณฑ์ ตามรอบ ภาวะเศรษฐกิจ 6 กลุ่ม ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย,ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสุด ,ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว ,ภาวะเศรษฐกิจขยายตัว , ภาวะเศรษฐกิจรุ่งเรือง และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ตามแผนภาพ ดังนี้ Source : Figure 2-4 The six stage of a typical business cycle, Analysis Explained Fourth Edition By Martin J. Pring  


     

 Stage 1 : ภาวะเศรษฐกิจถดถอย “ลงทุนพันธบัตร” มีการเติบโตเศรษฐกิจลดลง ภาวะการค้าเริ่มซบเซา ทำให้ผู้ประกอบการทั้งหลายเริ่มลดการผลิตลง อาจตามมาด้วยการลดต้นทุน เช่น ลดทรัพยากรในการผลิต เลิกจ้างแรงงาน เป็นต้น ประชาชนภาพรวมมีอำนาจซื้อลดน้อยลง การลงทุนที่เหมาสมจะเป็นการลงทุน “พันธบัตร” เพราะมี รัฐบาลค้ำประกัน จึงมี ความปลอดภัยมากที่สุดและให้ผลตอบแทนดีที่สุด หากประสงค์ลงทุนหลักทรัพย์ ควรลงทุนในกลุ่มสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น อาหาร เป็นต้น 


Stage 2 : ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสุด “ลงทุนหลักทรัพย์” เป็นภาวะเมฆหมอกดำปกคลุม มองไม่เห็นโอกาศ ไม่มีสภาพคล่องการค้าการขาย ธุรกิจอาจเกิดปัญหาสินค้าค้างสต็อกจำนวนมาก เกิดภาวะการว่างงานกระจายตัวไปทั่ว ประชาชนจึงไม่ค่อยมีกำลังซื้อเพราะมีรายได้ลดลง การลงทุนที่เหมาสมจะเป็นการลงทุน “หลักทรัพย์” เพราะจะซื้อได้ใน ราคาต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง เน้นหุ้นกลุ่มชี้นำการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มหลักทรัพย์ หรือ กลุ่มสินค้าบริโภค เช่น รถยนต์ ,เครื่องใช้ไฟฟ้า , อสังหา ,วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น 


Stage 3 : ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว “ลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์” ภาวะเศรษฐกิจโดยทั่วไปเริ่มดีขึ้น ราคาสินค้าเริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น การคาดคะเนกำไรขอผู้ประกอบการเป็นไปในแนวทางที่ดีขึ้น ธนาคารและสถาบันการเงินโดยรวม เริ่มปล่อยสินเชื่อ เพื่อกระตุ้นการผลิตและการลงทุนของผู้ประกอบการ จังหวะนี้ สามารถเริ่มเข้าลงทุนใน “สินค้าโภคภัณฑ์” เช่น ทองคำ เป็นต้น เพราะ สินค้าโภคภัณฑ์มักปรับตัวก่อนภาวะเศรษฐกิจจริงจาก การคาดการณ์สภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ หากประสงค์ลงทุนในหลักทรัพย์ ควรเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี หรือหุ้นกลุ่มวัฎจักร (Cyclical stocks) 


Stage4 : ภาวะเศรษฐกิจขยายตัว “ลงทุนหลักทรัพย์” บรรยากาศดีทั่วตลาด ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในการลงทุนและผลตอบแทนจากการลงทุน ทำให้การลงทุนมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว การจ้างงานเพิ่มขึ้นมาก มีสภาพคล่องด้านการจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการ เศรษฐกิจจะมีการเจริญเติบโตในอัตราสูง จังหวะนี้ การลงทุน “หลักทรัพย์” และ “สินค้าโภคภัณฑ์” จะอยู่ในภาวะคึกคัก และให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีกว่าพันธบัตร ลงทุนได้ในหุ้นทุกกลุ่มที่มีพื้นฐานดี และหุ้นกลุ่มวัฎจักร (Cyclical stocks) 


Stage 5 : ภาวะเศรษฐกิจรุ่งเรือง “เลือกถือหลักทรัพย์บางตัว” ผู้บริโภคที่มีกำลังอำนาจซื้อสูง เป็นช่วงที่มีการจ้างงานอย่างเต็มที่ แรงงานสามารถจะเลือกงานและเรียกร้องค่าจ้างได้ตามที่ต้องการ มีสภาพคล่องการค้าขายการจับจ่ายบริโภคและการท่องเที่ยวสูงสุด สินค้าและบริการมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจนอาจจะก่อให้เกิดเงินเฟ้อ ช่วงเวลานี้ จะเป็นจุด Peak ของตลาดหลักทรัพย์ที่เต็มไปด้วยความโลภและความประมาท แนะนำว่า ควรขายทำกำไรหุ้นบางตัว และเลือกถือหุ้นบางประเภท “หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐาน” เช่น น้ำมัน , “หุ้นกลุ่มวัถุดิบ” ที่ได้รับประโยชน์จากการผลิต และ “หุ้นกลุ่มวัฎจักร (Cyclical stocks)” 


Stage 6 : ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว “ถือเงินสด” เป็นภาวะเศรษฐกิจเงินเฟ้อ จากการลงทุนการบริโภคเกินกำลังการผลิตของประเทศ GDPประเทศไม่เพิ่มขึ้น หรือเพิ่มขึ้นในอัตราลดลง ผู้ประกอบการลดความมั่นใจในการลงทุน ประกอบกับต้นทุนการผลิตโดยรวมที่สูงขึ้นจากภาวะการแข่งขัน สิ่งที่ตามมา อาจเกิดการลดการกำลังการผลิตและอัตราแรงงาน ส่องให้เกิดสภาพเศรษฐกิจชะลอตัวโดยทั่วไป จังหวะนี้ ชี้ให้เห็นว่า การลงทุนในแต่ละสินทรัพย์หมดรอบแล้ว และเริ่มเป็นแนวโน้มขาลง แนะนำว่าควรขายทำกำไร และ “ถือเงินสด” แทน เพื่อรอดูการแก้ไขสถานการณ์ของรัฐบาล โดยเริ่มต้นใหม่ที่ Stage 1 อีกครั้ง


อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com





2-2 เรียนรู้เรื่อง Fund Flow Theory กับคุณ นิพนธ์ สุวรรณประสิทธิ์







1-2 เรียนรู้เรื่อง Fund Flow Theory กับคุณ นิพนธ์ สุวรรณประสิทธิ์

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

วางแผนการออมเงินไว้ใช้จ่าย....หลังเกษียณอายุกันครับ

     การออมเงินไว้ใช่จ่ายหลังเกษียณ...เป็นการวางแผนการเงินที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้และไม่ค่อยเห็นประโยชน์ของมัน..เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องของอนาคตเลยไม่คิดจะออมเงินไว้ให้ตนเองหลังเกษียณอายุ ..แต่ถ้าเป็นคนที่ทำงานในรัฐวิสาหกิจหรือราชกาลและบริษัทใหญ่ๆก็ดีขึ้นมาหน่อยมีเงินก่อนที่สะสมต่อเดือนไว้ให้โดยการหลักจากเงินเดือน...แต่คุณคิดว่ามันจะพอใช่จ่ายหลังที่คุณเกษียณหรือป่าว...ดังนั้นคุณๆท่านๆต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้านะครับ

     ผมมีตัวอย่างให้ทุกท่านได้เห็นว่าท่านออมเงินเดือนละไม่กี่พันท่านก็สามารถมีเงินใช้จ่ายหลังเกษียณเดืยนละ 50,000 บาทได้สบายๆ...มาดูกันเลยครับ



     ท่านต้องการคำนวณตามความต้องการของท่านกดเข้าตรงนี้ครับ http://www.msn.com/th-th/money/tools/retirementplanner

     ท่านเห็นมั้ยครับ..เพี่ยงแค่่ท่านออมเงิน ประมาณเดือนละ 3,600 บาท จากการที่ท่านเริ่มทำงานหาเงินได้จนท่านอายุ 60 ปี ท่านก็จะมีเงินใช้จ่ายหลังจากที่ท่านเกษียณอายุ  เดือนละ 50,000 บาท และจำนวนเงินออมของท่านเพียง 980,000 บาทเองที่เหลือเป็นดอกเบี้ยทบต้น ท่านสามารถใช้จ่ายได้สบายๆจนท่านอายุ 90 ปี เลยครับ...ไม่ต้องเดือดร้อนลูกหลานหรือต้องไปรบกวนญาติพี่น้องให้เค้าไม่สบายใจ 

"เรามาเริ่มออมเงินไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณกันเลยดีกว่าครับ "


























วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หลังเกษียณจะสร้าง..รายได้ (Passive income) จากการ....ทำสวนมะนาว

      เมื่อท่านเกษียณ...ไม่ว่าท่านจะรับราชกาลหรือทำธุรกิจแล้วเกษียณอายุจากการที่ท่านได้ทำงานหนักและเหนื่อยลามาจนถึงเวลาเกษียณ...แต่เวลาหลังวัยเกษียณนั้น 

ท่านได้สร้างPassive income ไว้แล้วหรือยัง...รายได้ที่ไม่ต้องทำงานหลังเกษียณอายุ เพื่อที่ท่านมีได้เงินพอกับค่าใช้จ่ายในแต่เดือนไม่เดือดร้อนลูกหลาย..ผมเชื่อเหลือเกินว่าท่านที่เกษียณอายุนั้นส่วนใหญ่จะไม่มีรายได้หลังเกษียณเพียงพอกับค่าใช้จ่ายต่างๆในแต่ละเดือน (เพราะเดียวนี้ไม่มีบำนาญแล้ว..) แต่ท่านยังมีเงินก่อนหรือบำเหน็จ (หรือบ้างท่านอาจจะมีหนีสินแถมมาด้วยหลักบำเหน็จแล้วเหลือไม่มาก)...ดังนั้นท่านต้องหารายได้หลังวัยเกษียณเพิ่ม...โดยการทำไร่ทำสวน(ท่านที่มีที่ดินเหลือหรือซื้อเก็บไว้หลังเกษียณ)...ท่านก็จะได้ใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนนี้...ส่วนท่านที่ไม่มีที่ดินเหมือนกับเค้าท่านต้องคิดมากกว่าคนอื่นๆ...ครับ

     มาดูกันครับว่าส่วนมะนาวจะสร้างรายได้หลังท่านเกษียณได้อย่างงดงามได้อย่างไร..

     การลงทุนทำสวนมะนาวนั้น...ไม่ได้ลงทุนสูงอย่างที่หลายคนคิด...แต่สร้างรายได้สูงกว่าที่ท่านคิด(คืนทุนเร็วครับ)

    ท่านลงทุนเพียง 1 แสนบาทท่านมีสวนมะนาวได้ 100 ต้น(พร้อมระบบน้ำ) ภายในหนึ่งปีท่านสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้วครับ..ต้นมะนาวร้อยต้นสามารถผลิตผลมะนาวได้ปีละ 1,500-2,000 ลูกต่อต้นต่อปี ขายลูกละ 1.5-2 บาท(ช่วงปกติถ้าหน้าแล้งราคาสูงกว่านี้ครับ) คิดที่ 1,500ลูกX1.5บาท = 225,000 บาทต่อปีครับ ปีแรกท่านก็คืนทุนแล้วครับ...ปีต่อไปท่านก็เก็บกำไรกินต่อเดือนก็ประมาณ 15,000-18,000 บาทต่อเดือนครับ..(เป็นผมอยู่สบายเลยครับ)

     เวลาทำงานก็ไม่มากและไม่เหนื่อยอย่างที่ท่านคิด..ทำงานวันละ 1-3 ชม./วัน รดน้ำก็ใช้ระบบรดน้ำอัตโนมัติครับ..ใส่ปุ๋ยบ้าง...พ้นยาบ้างตามอาการป่วยของต้นมะนาว เดินตรวจดูระบบน้ำบ้าง(ออกกำลังกายไปในตัว...ชีวิตดี้ดี)..ได้รับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าและยามเย็น(ช่วงกลางวันนอนหรือออกไปหาเพื่อนๆคุยกันเรื่องเก่าๆบ้างก็จะทำให่ท่านจิตใจแจ้มใสไม่เคลียร์...ดีทั้งสุภาพจิตและร่างกายครับ)

 

      ท้ายนี้...ฝากท่านที่จะทำสวนมะนาวหรือสวนอะไรก็แล้วแต่ท่านอยากจะทำหรือเห็นว่าดี..ท่านต้องไปดูหรือศึกษาจากสวนที่เค้าขายต้นพันธ์ให้ท่านนะครับก่อนนะครับว่าจริงอย่างที่เค้าว่าหรือป่าว..และให้คำปรึกษาหลังการขายหรือไม(เพราะเงินก่อนสุดท้ายของท่านมีจำกัดไม่สามารถหาใหม่ได้ง่ายๆ..ต้องระวังครับ)

" สุขสบาย สุขภาพแข็งแรง สุขใจทุกท่านนะครับ "




วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การขึ้นภาษีรถยนต์..จะเกิดอะไรขึ้นกับอุตสาหกรรมนี้

วิเคราะห์ตื้นๆ...แบบจับฉ่ายเทรดเด้อ
     การขึ้นภาษีรถยนต์คิดแบบง่ายๆ ทำให้สินค้าแพงขึ้น ทำให้การซื้อขายรถยนต์น่าจะมีผลกระทบในระยะสั้นๆๆ...กว่าที่ผู้ซื้อจะมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ(รับรู้ราคาใหม่ได้)ถึงจะกลับมาซื้อใหม่อีกครั้ง..เหมือนตอนที่ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มแรกๆ..มาดูกันซิว่าถ้ามาตราการประกาศขึ้นภาษีในปี 59 ปีหน้าจะเกิดอะไรขึ้น

      จะเห็นว่ากลุ่มอุตสาหกรรมนี้ปรับตัวลงทันที..เมื่อกิดความกังวลหรือความไม่แน่ใจในอุตสาหกรรมนี้เกิดขึ้น ก็จะแสดงออกมาทางกราฟให้เห็น...ดังนั้นเราควรลดหุ้นหรือขายหุ้นบ้างส่วนออกเพื่อปรับพอร์ตลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจริงในปี59..แต่เหรียญมีสองด้านเสมอบ้างคนอาจจะเห็นโอกาศเก็บหุ้นราคาถูก..แต่ท่านต้องมีความรู้แกะงบการเงินหรือวิเคราะห์ได้เป็นอย่างดี...และมีจิตรใจที่แข็งแก่งมากในการถือหุ้นกลุ่มนี้ ( มอร์ไซไม่เกี่ยวนะครับ..ถ้ามีของดีถือไว้ได้) 
     ส่วนตัวผมคงไม่หุ้นกลุ่มรถยนต์นี้แน่นอนครับ เว้นกลุ่มผลิตอะไหร่มอร์ไซ..ถ้ากราฟสวยมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น..ติดสแกนหุ้นที่ผมตั้งค่าไว้คงได้มีหุ้นติดไม้ติดมือแน่ๆๆ... สุดท้ายนี้อยากให้เพื่อนนักลงทุนได้นำข่าวที่เป็นนโยบายไม่ว่าจะเป็นของรัฐหรือบริษัทจดทะเบียนมาวิเคราะห์กันให้เป็นบ้างไม่มากก็น้อย เอาแบบสบายใจในการซื้อเลย..และขอให้เพื่อนนักลงทุนประสบความเสร็จในการลงทุนทุกท่านนะครับ...โชคดีครับ $_$

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

วิธีการทำ Position Sizing พร้อมคำนวณ​ Risk to Reward แบบง่ายๆ

       การทำแบบนี้ป้องกันความเสี่ยงและเรายังสามารถรู้ถึงความเสี่ยงก่อนที่เราจะเข้าซื้อขายหุ้นนะครับ ส่วนตัวผมใช้ เวปนี้ครับง่ายดี http://www.tradingplanofgoku.com/ แถมการค้นหาหุ้นที่มีปริมาณซื้อขายผิดปกติให้ด้วยครับ ผู้รู้เค้ากล่าวไว้ว่า เมื่อความคุมความเสี่ยงได้เราจะสามารถอยู่รอดในตลาดที่โหดร้ายได้..ครับ
       มาเริ่มการใช้งานกันเลยครับ เมื่อเราต้องการซื้อตัวที่เราดูไว้ให้หาจังหวะเข้าตามฝีมือเลยครับ..ตัวอย่างหุ้นตัวนี้ครับ  

     
     เมื่อเราเห็นจังหวะเข้าซื้อแล้วเราก็ไปคำนวณหา Position Sizing
ครับ โดยเข้าเวปนี้ครับ http://www.tradingplanofgoku.com/ 
สมมติว่าเรามีเรามีเงินในพอร์ต 100,000 บาท เราเสี่ยงได้ 1% ของพอร์ต คือเสี่ยงได้ 1,000 บาท เราก็ได้จุดเข้าและจุดตัดขาดทุนแล้วจากกราฟ เราก็ได้กรอกในเวป เป้าหมายของราคาเราก็พอรู้ใช้ fibo 161.8 หรือ 261.8 เป้นเป้าหมายไม่เกินจริงเท่าไรครับ เรามาดูผลกันว่าเราจะต้องซื้อหุ้นตัวนี้เท่าไรและใช้เงินลงทุนเท่าไรกับความเสี่ยงที่เรารับได้คือ 1,000 บาท
     เราก็จะได้ จำนวนหุ้นที่จะซื้อคือ 2500 หุ้น ด้วยเงินลงทุน 7,000 บาท จุดตัดขาดทุนก็คือจุดต่ำก่อนหน้าที่ผ่านมา 2.40 บาท เป้าหมายคือ fibo 261.8 = 3.50 บาท ราคาเข้าซื้อ = 2.80 บาท Risk to Reward = 1.75 ไม่ค่อยดีเท่าไรอัตราผลตอบแทนไม่ถึง 2 ถ้าเป็นหุ้นตัวนี้ผมต้องพิจารณาอีกครับว่าคุ้มค่ากับการลงทุนหรือป่าว ถ้าเราคุม Risk to Reward ไว้ที่ 2 หรือมากกว่า เมื่อหุ้นตัวไหนต้องตัดขาดทุนคือ -1,000 บาท ถ้าอีกตัวทำ Risk to Reward ได้ 2 เท่า เท่ากับเราเท่าทุนพอได้หรือตัวที่ได้กำไรทำ Risk to Reward ได้ 3 เท่า สรุปเราได้กำไร 1,000 บาทนะครับ ดังนั้นเราควรจะมี " วินัย " ทำตามแผนที่วางไว้ให้ได้เพื่อ พอร์ตของเราจะไม่เสียหายมากและเมื่อตลาดกลับมาเป็นกะทิงอีกครั้งเราคงมีพอร์ตที่เป็นบวกบ้างนะครับเพื่อนๆ..แล้วเจอกันที่ SET 2000+ นะครับเพื่อน..อย่าพึงหนีหายตายจากกันไปก่อนนะครับ...>_<

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สวัสดีครับ...ท่านผู้เข้ามาชม Blog นี้นะครับ

       สำหรับท่านที่สนใจในการเล่นหุ้น  ส่วนตัวผมพึ่งเล่นห้นได้ไม่นานนะครับ(ออกตัวก่อน) ที่ผ่านมาผมก็ได้ๆ เสียๆ ยังไม่สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกัมเหมือนคนอื่นๆเค้า  แต่ด้วยเป็นคนชอบความสะบายเลยสนใจที่จะเล่นหุ้น (เห็นเค้ารวยกัน) แต่จากการได้ลองมาสองปีแล้วรู้สึกว่าชีวิตไม่ได้โลยด้วยกรีบกุหลาบอย่าที่คิด T_T ผมเลยอยากแชร์ความผิดพลาดหรือสิ่งที่เห็นในการซื้อขายหุ้นบางอย่างที่ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเหมือนกันหรือเปล่า

     มีหลายคนเลยบอกไว้ว่าการเล่นหุ้นมีสองสาย สายแรกสายพื้นอลึกถึงสูตรต่างๆคงไม่ไหว เลยหนีมาทางเล่นทางสายกราฟดีกว่าน่าจะไปรอด (พอไม่ให้ขาดทุนหนักได้) 

     ผมขอแจ้งให้ทราบไว้ก่อนนะครับบล็อกนี้ไม่ได้แนะนำหุ้นรายตัวนะครับ..เป็นบล็อกเพื่อแสดงความคิดเห็นส่วนตัวในการซื้อขายหุ้นหรือการทำให้อยู่รอดในตลาดหุ้นที่แสนจะโหดร้ายได้(ถ้าตลาดอำนวจนะครับ...5555 )

     บล็อกนี้จะไม่มีพื้นฐานแน่นๆหรือสูตรอยากๆให้ท่านผู้อ่านนะครับ เพราะผมไม่เก่งขนาดนั้น...จะเน้นใช้งานมากกว่าและส่วนใหญ่เป็นความคิดของผมเองอาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกับท่านก็ได้..ไปพิจารณาเอานะครับ..เพื่อความอยู่ให้รอดในตลาดที่มีแต่เสือสิงกระทิงแรดทั้งนั้น

     มาเริ่มกันเลยนะครับ เริ่มแรกผมจะดูอารมณ์ของตลาดก่อนโดยดูจากกราฟของ SET ก่อนว่าเป็นช่วงขาขึ้นหรือขาลงหรือพักตัว ถ้าเล่นหุ้นอย่างเดียวผมจะดูว่าเป็นขาขึ้นอย่างเดียวเพราะขายก่อนไม่ได้ต้องซื้อหุ้นก่อนค่อยขายได้(สำหรับเม่า..แต่ถ้ารายใหญ่ยืมหุ้นมาขายก่อนได้ครับ)

 
   ดูจากกราฟ SET แล้วผมคงไม่เล่นหุ้นช่วงนี้นะครับ อารมณ์ตลาดไม่ค่อยสู่ดีเท่าไร..ใครจะเชียร์หุ้นตัวไหนมาผมก็คงไม่เล่นนะครับแต่ผมจะหาหุ้นไว้ช่วงนี้แหละครับ...หาไว้หลายตัวเพื่อเลือกได้รอตลาดกลับมาน่าเล่นอีกครั้งครับ..ตลาดกลับมาเมื่อไรเจอกันใหม่นะครับ >_<